รายงานโดย
โดยโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับอารยธรรมและประวัติศาสตร์ของอาณาจักรขอมโบราณที่ยังคงความยิ่งใหญ่สืบต่อมาจนถึงยุคปัจจุบัน เพื่อศึกษาและเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับศิลปะขอมโบราณ งานด้านสถาปัตยกรรม ประเพณีและความเชื่อต่าง ๆ ของคนในอดีต เพื่อเพิ่มพูนทักษะการเก็บข้อมูลภาคสนาม และเพื่อศึกษาวัฒนธรรม ประเพณีรวมไปถึงวิถีชีวิตของชาวกัมพูชาผ่านสถานที่จริง ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
วันแรก 10 กรกฎาคม 2562
เดินทางออกจากมหาวิทยาลัย เวลา 03.00 น. ไปที่ด่านช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ เพื่อเดินทางข้ามแดนไปยังจังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา พวกเราไปถึงเสียมเรียบในเวลาใกล้เที่ยง จึงไปรับประทานอาหารกลางวันก่อน แล้วไปซื้อตั๋วเข้าชมเมืองโบราณ ซึ่งต้องถ่ายรูปติดบัตรด้วย โดยตั๋ว 1 วัน ราคา $37 ต่อหัว จากนั้นช่วงบ่ายจึงเดินทางไป พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครวัด (Angkor National Museum) เพื่อศึกษาวัฒนธรรม สังคม ความคิด และความเชื่อตั้งแต่สมัยโบราณของชาวกัมพูชา ผ่านการจัดแสดงนิทรรศการทั้งหมด 9 ห้อง ห้องแรกคือ Briefing Hall ชมภาพยนตร์แนะนำพิพิธภัณฑ์ อย่างคร่าวๆ
ต่อมาคือห้อง Exclusive Gallery: 1000 Buddha Images แสดงถึงอิทธิพลของศาสนาที่มีผลต่อประติมากรรมและสถาปัตยกรรมในการสร้างพระพุทธรูป ซึ่งมีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงยุคสมัย ห้อง Khmer Civilization เล่าถึงความเป็นมาของอาณาจักรขอม รวมถึงศาสนาและเทพเจ้าต่าง ๆที่ทำให้เกิดเป็นงานศิลปะ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากอารยธรรมอินเดียเกือบทั้งหมด ห้อง Religion and Beliefs แสดงร่องรอยของความเชื่อ ความศรัทธาในศาสนา ความเป็นมาของศาสนาในกัมพูชา
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครวัด (Angkor National Museum) |
ห้อง Angkor Thom “The Pantheons of Spirit” ห้องแสดงนครธม เรียนรู้วัฒนธรรม อิทธิพลพุทธศาสนาแบบมหายาน วิถีชีวิตต่อผู้คนในยุคต่าง ๆ ห้อง Story from Stone “The Evidence of the Past” เรื่องเล่าจากศิลาจารึก ที่บันทึกถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรขอม ความเชื่อต่างๆ ห้อง Ancient Costume “The Fascination of Apsara” พัสตราภรณ์โบราณของนางอัปสร แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองเกี่ยวกับการแต่งกายของคนสมัยก่อนซึ่งบ่งบอกถึงสถานะทางสังคม
หลังออกจากพิพิธภัณฑ์พวกเราได้เดินทางไปกราบนมัสการ พระเจ้าเจ๊กเจ้าจอม พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองเสียมเรียบเพื่อความเป็นสิริมงคล จากนั้นจึงเดินทางไปรับประทานอาหารค่ำ และกลับที่พักในเวลา 19.00 น.
วันที่สอง 11 กรกฎาคม 2562
เดินทางออกจากที่พักในเวลาประมาณ 07.30 น. เพื่อมุ่งหน้าไปยังโบราณสถานที่แรกนั่นก็คือ ปราสาทบันทายสรี (Banteay Srei) หรือมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า อิศวรปุระ โดยมีพี่มัคคุเทศก์ คุณเจีย สุวรรณ ได้อธิบายให้พวกเราฟังว่า ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์และเพื่อเป็นการถวายแด่พระอิศวร และยังเรียกว่าเป็นปราสาทสตรีหรือป้อมสตรี อาจเนื่องจากความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพราหมณ์ ที่เชื่อว่าสร้างเพื่อเปิดพรหมจรรย์สตรีผู้ที่มีความสูงสูงกว่าต้นเสานางเรียงในตัวปราสาท
หน้าประตูทางเข้าปราสาทบันทายสรี |
ประติมากรรมรูปเทวดา หน้าประตูทางเข้าเมืองนครธม ด้านทิศใต้ |
ยอดปราสาทรูปพระพักตร์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ด้านบนปราสาทบายน |
ปรสาทตาพรหม ความลงตัวระหว่างธรรมชาติและสถาปัตยกรรม |
ถ่ายภาพหมู่รวมกันด้านหน้าก่อนข้ามสระน้ำเข้าไปด้านในปราสาทนครวัด |
ปราสาทนครวัด (Angkor Wat) เป็นศาสนสถานที่สุดท้ายของวัน ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของทริปนี้เลยก็ว่าได้ เนื่องจากปราสาทนครวัดนั้นเป็นศาสนสถานที่มีความสวยและใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกอีกด้วย โดยปราสาทนครวัดนี้สร้างขึ้นพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (Suriyavarman II) เพื่อเป็นที่พักพิงสุดท้ายของพระองค์และเพื่อรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งกับพระวิษณุ ปราสาทแห่งนี้จึงหันหน้าไปทิศตะวันตก แตกต่างจากปราสาททั่วไปที่มักหันหน้าไปทางทิศตะวันออก โดยมียอดปราสาททั้งหมด 9 ยอด ยอดตรงกลาง 5 ยอด และมีอีก 4 ยอดอยู่ล้อมรอบ โดยจุดประสงค์ในการสร้างนั้น เพื่อจำลองเป็นเขาพระสุเมรุ ที่ที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล เป็นที่อยู่ของเทพพระเจ้า โดยมีสะพานนาคราชเป็นทางเข้าสู่ประตูสวรรค์ ซึ่งเป็นนาคสองตัวที่ถือว่ามีความสมบูรณ์มากที่สุด
พักเหนื่อยจากการเดินดูภาพสลักที่ยาวนับกิโลของระเบียงคตชั้นที่หนึ่ง |
เมื่อเดินเข้าไปยังตัวปราสาทนั้นจะพบเจอระเบียงคดซึ่งซ้อนกันถึงสามชั้น ชั้นแรกสุดหรือนอกสุด เต็มไปด้วยภาพแกะสลักเรื่องราวต่างๆ ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควรในการศึกษา เช่น เรื่องมหาภารตะ เรื่องราวการเกษียรสมุทรของเหล่าเทพและอสูร เรื่องราวการเดินทางไปสู้รบกับพวกจามของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 มีการสื่อถึงพิธีกรรมและประเพณีต่างๆ ในระหว่างการรบ และยังมีการเล่าเรื่องราวความเชื่อเกี่ยวกับนรกและสวรรค์ นอกจากนี้แล้วพวกเรายังได้ดื่มด่ำบรรยากาศความน่าหลงใหลในอารยธรรมของขอมโบราณโดยการพิชิตชั้น 3 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดที่มียอดห้ายอดของปราสาทนครวัด และดื่มด่ำกลิ่นอายของความขลังอย่างการที่ได้ชมการทำพิธีกรรมทางศาสนาของคนปัจจุบันในตัวปราสาทอีกด้วย อาจารย์บอกว่าพวกเราโชคดีที่มาช่วงโลซีซั่นเพราะไม่ต้องต่อคิวยาวมากในการขึ้นสู่ยอดสูงสุดของปราสาทและโชคดีที่ปัจจุบันทุกคนสามารถขึ้นไปสู่ยอดด้านบนได้ เพราะในสมัยโบราณนั้นคนที่จะขึ้นได้คือพราหมณ์หรือพระมหากษัตริย์เท่านั้น
วันที่สาม 12 กรกฎาคม 2562
เป็นวันสุดท้ายของการสำรวจศึกษานอกสถานที่ ณ ประเทศกัมพูชา รับประทานอาหารเช้าและออกเดินทางจากโรงแรมในเวลา 8.00 น. ระหว่างทางมุ่งหน้าไปยังสถานที่แรก สองข้างทางเต็มไปด้วยผู้คนและสิ่งใหม่ๆ น่าสนใจมากมาย ความสวยงามของตึก ร้านอาหาร โรงเรียน การจราจรที่เราไม่เคยเห็นทำให้รู้สึกค่อนข้างตื่นตาและประทับใจเป็นพิเศษ
นิทรรศการบอกเล่าประวัติศาสตร์ในช่วงที่เขมรแดงครองเมือง |
จากนั้นมาถึงสถานที่แรกของวันนี้ วัดใหม่ (Wat Thmei) หรือที่เรียกกันอย่างเป็นที่รู้จักว่า ‘ทุ่งสังหาร’ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความทรงจำในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับยุคเขมรแดงที่เข้ามาปกครองประเทศในระหว่าง ค.ศ.1975-1979 (พ.ศ. 2518-2522) ซึ่งวัดใหม่นี้เป็นพื้นที่สำหรับทิ้งศพของเหล่าปัญญาชนและชาวเมืองมากมายที่ถูกสังหารในสมัยเขมรแดง ภายในวัดมีภาพถ่ายและรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในสมัยนั้นให้เป็นตัวอย่าง ทั้งยังมีโครงกระดูกของผู้เสียชีวิตที่เก็บรวมรวมไว้ภายในสถูปที่ทำเป็นกระจกใสให้เห็นอย่างชัดเจน การที่ได้มาเรียนรู้ประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่งของมนุษยชาติร่วมโลกและศึกษาจากสถานที่จริง ทำให้รู้สึกเข้าใจ เข้าถึง และหดหู่ในเวลาเดียวกัน
บารายตะวันตก (West Baray) |
ออกจากที่นี่พวกเราเดินทางไปยัง บารายตะวันตก (West Baray) แหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่สร้างด้วยน้ำมือมนุษย์ เป็นหนึ่งในสองของบารายที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเสียมเรียบ เสียดายที่ตื้นเขินจนมองไม่เห็นเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะบารายตะวันออกส่วนพื้นน้ำของบารายหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงบางส่วนของบารายตะวันตกที่หลงเหลือให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ และระบบจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพและน่าทึ่งของคนเขมรโบราณในยุคเมืองพระนคร ไกลออกไปกลางเกาะยังเป็นที่ตั้งของ ปราสาทแม่บุญตะวันตก (West Mebon) ซึ่งอยู่ระหว่างการบูรณะปฏิสังขรณ์
หลังจากนั้นพวกเราเดินทางไปยัง ตลาดเก่า (Old market) เพื่อแวะซื้อของที่ระลึก ของฝาก กลับยังประเทศไทย ตลาดแห่งนี้มีสินค้าที่หลายหลาย แต่ละร้านมีสินค้าทั้งเหมือนและแตกต่างกันออกไป ซึ่งสิ้นค้าแต่ละอย่างนั้นแสดงถึงเอกลักษณ์ความเป็นกัมพูชาได้เป็นอย่างดี ราคามีตั้งแต่หลักร้อยจนหลักพัน สามารถเลือกซื้อได้ตามอัธยาศัย แต่ควรระมัดระวังไม่ซื้อเครื่องดนตรีที่มีพวกหนังสัตว์เป็นส่วนประกอบ เพราะจะถูกยึดเมื่อเดินทางเข้าฝั่งไทยแล้ว พวกเราใช้เวลาที่นี่ประมาณหนึ่งชั่วโมง จากนั้นแวะรับประทานอาหารกลางวันที่ Tonle Sap restaurant ก่อนจะออกเดินทางกลับและถึงด่านชายแดนในเวลาประมาณบ่ายสองโมง และกลับถึงมหาวิทยาลัยขอนแก่นประมาณ 21:40 น.
ภาพถ่ายหมู่ที่ด้านหน้าปราสาทบายน กลางเมืองนครธม |
การที่พวกเราได้มีส่วนร่วมในโครงการสำรวจและเก็บข้อมูลภาคสนามพื้นที่กัมพูชา ประจำปีการศึกษา 2562 ครั้งนี้ ทำให้ได้รับความรู้รวมทั้งประสบการณ์ต่างๆ มากมาย อาทิเช่น ขั้นตอนวิธีการผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง การข้ามประเทศ อัตราการแลกเปลี่ยนเงินตรา การใช้ภาษา รวมไปถึงประวัติความเป็นมาของสถานที่แต่ละแห่งที่ได้ไปเยี่ยมชมอย่างละเอียด ซึ่งเป็นการเปิดโลกกว้างสร้างมุมมองใหม่ๆ ให้แก่นักศึกษาที่มีส่วนร่วมให้ครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้าน สังคม ศาสนา และ วัฒนธรรมที่สำคัญ ณ ประเทศกัมพูชาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่น่าศึกษา เรียนรู้ และเป็นประโยชน์แก่นักศึกษา สามารนำข้อมูลที่ได้ไปศึกษาหรือสานต่อได้ในอนาคต ทั้งด้านการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และวิจัย เกี่ยวกับประเทศต่างๆ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป
No comments:
Post a Comment