โครงการสำรวจและเก็บข้อมูลภาคสนาม อารยธรรมเขมรโบราณ ณ จังหวัดเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ประจำปีการศึกษา 2565

หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา (Southeast Asian Studies) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ดำเนินโครงการสำรวจและเก็บข้อมูลภาคสนาม อารยธรรมเขมรโบราณ ณ จังหวัดเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ 12 – 14 สิงหาคม พ.ศ. 2565 โดยมีนักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวน 29 คน และมีอาจารย์อีก 3 ท่าน ร่วมเดินทางไปด้วย รวมทั้งสิ้นจำนวน 32 คน

รายงานโดย เสฎฐวุฒิ สุขสวัสดิ์

ซึ่งประเทศกัมพูชา หรือมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของคาบสมุทรอินโดจีน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งยังเป็นแหล่งกำเนิดของอาณาจักรโบราณ และมีอารยธรรมที่เก่าแก่มากที่สุดในภูมิภาคแห่งนี้ อย่างอาณาจักรฟูนัน อาณาจักรเจนละ และอาณาจักรเขมรโบราณ

การเดินทางไปทัศนศึกษาเพื่อสำรวจและเก็บข้อมูลภาคสนามในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการสำรวจและเก็บข้อมูลภาคสนามของอาจารย์และนักศึกษา และเพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้ผ่านสถานที่จริง พร้อมทั้งเพิ่มพูนประสบการณ์นอกห้องเรียนของนักศึกษาสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา เนื่องจากประเทศกัมพูชาดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ว่าเป็นประเทศที่มีอารยธรรมโบราณเก่าแก่ยาวนานมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดระบบของผังเมืองโบราณ สถานที่สำคัญทางศาสนาที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธนิกายมหายาน รวมไปถึงสถานศึกษา โรงพยาบาล และระบบชลประทาน เป็นต้น อีกทั้งประเทศกัมพูชายังเคยตกเป็นหนึ่งในอาณานิคมของอดีตชาติมหาอำนาจตะวันตกอย่างประเทศฝรั่งเศส และยังเคยผ่านความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงยุคสงครามเย็น ทำให้ประเทศกัมพูชามีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจให้ได้ศึกษามากมาย


วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2565

ทางหลักสูตรฯ คณะอาจารย์และนักศึกษา ได้ร่วมกันออกเดินทางจากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม เวลา 03.00 น. โดยรถบัสของคณะเพื่อเดินทางไปยังด่านพรมแดนช่องจอม ตำบลด่าน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ใช้เวลาเดินทางจนถึงเวลา 08.30 น. จากนั้นคณะอาจารย์และนักศึกษาได้ทำการตรวจสอบเอกสาร และออกเดินทางต่อมุ่งหน้าสู่เมืองเสียมราฐ โดยรถบัสของบริษัททัวร์ เมื่อถึงตัวเมืองเสียมราฐทางคณะอาจารย์และนักศึกษาได้พักรับประทานอาหารกลางวัน ก่อนจะเดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ ในตัวเมืองเสียมราฐ

โดยสถานที่สำคัญที่ได้เดินทางไปในวันแรก ได้แก่ ศาลเจ้าเจ๊ก เจ้าจอม สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวเสียมราฐ จากนั้นเดินทางต่อไปยัง วัดหัวกะโหลก ที่ซึ่งเป็นสถานที่ในช่วงยุคสงครามเย็นที่กลุ่มเขมรแดงเคยใช้เป็นทุ่งสังหารประชาชนผู้มีความเห็นต่างทางการเมืองจำนวนมากกว่า 3 ล้านคน โดยภายในวัดหัวกะโหลกจะมีสถานที่จัดแสดงหัวกะโหลกของมนุษย์ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่ดังกล่าว พร้อมทั้งภาพเหตุการณ์ในอดีตและคำบรรยาย เพื่อแสดงให้เห็นถึงร่องรอยความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ และยังเป็นสิ่งเตือนใจสำหรับความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากสงครามเย็น

วัดหัวกะโหลก บริเวณสถานที่จัดแสดงกะโลกมนุษย์

ภาพเหตุการณ์ในอดีตช่วงยุคเขมรแดง


จากนั้นคณะของเราได้เดินทางไปซื้อบัตรสำหรับการเข้าชมนครวัด นครธม และแหล่งอารยธรรมอื่น ๆ ก่อนที่จะเดินทางไปเข้าพักที่โรงแรมธารา อังกอร์ ในเวลา 16.00 น. เพื่อพักผ่อนตามอัธยาศัย และในช่วงค่ำของวันเดียวกัน ทางคณะได้เดินทางไปรับประทานอาหารเย็น และรับชมการแสดง ณ ภัตตาคาร จากนั้นเดินทางต่อไปยัง Night Market และ Pub Street ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญยามค่ำคืนของเมืองเสียมราฐ ก่อนที่ทุกคนจะเดินทางกลับโรงแรมธารา อังกอร์


วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม 2565

รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมธารา อังกอร์ หลังจากนั้นเวลา 08.00 น. ทางคณะอาจารย์และนักศึกษาได้เดินทางไปยังสถานที่สำคัญแห่งแรก คือ นครธม (Angkor Thom) นครหลวงแห่งสุดท้ายของอาณาจักรเขมรโบราณ สร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 12 ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีข้อสังเกตที่น่าสนใจคือนครธมจะมีคติการสร้างเป็นแบบศาสนาพุทธนิกายมหายาน ผสมผสานกับคติแบบศาสนาฮินดู แสดงให้เห็นว่าในยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ยังมีความพยายามที่จะผสานความเชื่อของสองศาสนาเข้าด้วยกัน คือศาสนาฮินดูที่เป็นศาสนาเก่า กับศาสนาพุทธนิกายมหายานที่เป็นศาสนาใหม่

บริเวณประตูทางเข้านครธม

จากนั้นทางคณะได้เข้าชมนครธม เพื่อศึกษาและสำรวจปราสาทที่มีชื่อเสียงและโด่งดังมากที่สุดแห่งหนึ่งคือ ปราสาทบายน ที่ตั้งอยู่ใจกลางของนครธม ปราสาทบายนเป็นปราสาทศิลปะแบบบายน โดยยอดปราสาทแต่ละหลังจะมีพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือพระพักตร์แห่งบายนประดิษฐานอยู่ ตัวปราสาทมีจำนวนทั้งหมด 54 ยอด ตามจำนวนของจังหวัดหรือเมืองในเขตปกครองของอาณาจักรเขมรในอดีต อีกทั้งบริเวณรอบกำแพงยังมีภาพแกะสลักหินที่เล่าเรื่องราวความเป็นมาของผู้คนในสมัยนั้น และการทำสงครามต่อสู้กับชาวจาม เป็นต้น ปราสาทบายนถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นหลังจากที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทำสงครามขับไล่ชาวจามออกไปจากแผ่นดินเขมรได้สำเร็จ จึงถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากในแง่ของความหมาย ศิลปะ และความซับซ้อนในการสร้าง

ภาพถ่ายปราสาทบายน

ภาพแกะสลักบริเวณกำแพงของปราสาทบายน

ต่อมาทางคณะได้เดินทางไปยัง ปราสาทตาพรหม (Ta Prohm Temple) สร้างในสมัยของพะเจ้าชัยวรมันที่ 7 เพื่ออุทิศให้แก่พระมารดาของพระองค์ โดยปราสาทแห่งนี้จะมีลักษณะพิเศษคือ มีต้นสะปงขนาดใหญ่แผ่รากปกคลุมระเบียงคดของตัวปราสาท ทำให้ดูมีความลึกลับและน่าค้นหาเป็นอย่างมาก อีกทั้งปราสาทตาพรหมยังเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ลาร่า ครอฟท์ ทูมเรเดอร์ (Lara Croft: Tomb Raider 2001) อีกด้วย เมื่อเข้าชมปราสาทตาพรหมเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้เดินทางเข้าเมืองเสียมราฐเพื่อพักรับประทานอาหารกลางวัน

ภาพถ่ายต้นสะปงที่แผ่รากปกคลุมระเบียงคดของปราสาทตาพรหม

หลังจากนั้นในช่วงบ่ายได้เดินทางต่อไปยัง ปราสาทบันทายสรี หรือ ปราสาทบันเตียไสร ซึ่งเป็นปราสาทหินที่มีความงดงามมากที่สุดในกลุ่มปราสาทของอาณาจักรเขมรยุคพระนคร หรือที่เรามักจะเรียกกันว่า “ขอม” นั่นเอง ปราสาทแห่งนี้สร้างอุทิศถวายพระอิศวรภายใต้พระนามว่า “ตรีภูวนมเหศวร” หรือ “ผู้เป็นใหญ่แห่งโลกทั้งสาม” ตัวปราสาทมีขนาดเล็ก สร้างด้วยหินทรายสีชมพู จุดเด่นของตัวปราสาทคือมีลวดลายการแกะสลักที่มีความละเอียด สวยงาม และสมบูรณ์

ภาพปราสาทบันทายสรี

และสถานที่สุดท้ายของวันที่สองคือ ปราสาทนครวัด (Angkor Wat) หนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เพื่ออุทิศแด่พระวิษณุ และใช้เป็นพระราชสุสานของพระองค์ไปพร้อมกัน ลักษณะพิเศษของปราสาทนครวัดคือเป็นปราสาทหินขนาดใหญ่ และยังเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความซับซ้อนและสวยงามเป็นอย่างมาก จนถือได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของศิลปะขอมโบราณ โดยตัวปราสาทจะหันหน้าไปทางทิศตะวันตก เนื่องจากใช้เป็นสุสานและเพื่อหันเข้ารับกับเมืองนครธม และปราสาทแห่งอื่น ๆ ซึ่งเป็นการให้เกียรติและแสดงถึงความเคารพนั่นเอง กระทั่งในช่วงเย็นของวันเดียวกัน ได้มีการพักรับประทานอาหารที่ภัตตาคารในเมืองเสียมราฐ ก่อนจะเดินทางกลับเข้าโรงแรมเพื่อพักผ่อนตามอัธยาศัย

ภาพถ่ายปราสาทนครวัด

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม 2565

วันสุดท้ายของการเดินทาง หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมเรียบร้อย ในเวลา 08.30 น. คณะอาจารย์และนักศึกษาออกเดินทาง เพื่อมุ่งหน้าไปยัง ปราสาทพระโค ปราสาทที่สร้างด้วยอิฐบนพื้นราบ โดยถูกสร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 เพื่ออุทิศแด่บรรพบุรุษและบรรพสตรีตามลัทธิเทวราชา กลุ่มปราสาทพระโคมีทั้งหมดจำนวน 6 หลัง ตั้งรวมอยู่บนฐานขนาดเตี้ย ๆ ฐานเดียวกัน โดยปราสาทแถวหน้า 3 หลัง อุทิศให้แด่บรรพบุรุษ ส่วนแถวหลังอีก 3 หลัง อุทิศแด่บรรพสตรี

ภาพถ่ายปราสาทพระโค

จากนั้นทุกคนได้เดินทางต่อไปยัง ปราสาทบากอง เป็นปราสาทที่สร้างในรัชสมัยของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 เพื่อประดิษฐานศิวลึงค์และอุทิศแด่พระองค์เอง โดยปราสาทบางกองมีลักษณะคล้ายพีระมิด เนื่องจากมีการสร้างฐานที่สูงซ้อนกันถึง 5 ชั้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าปราสาทแห่งนี้ ตั้งอยู่บนภูเขาที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยด้านบนสุดของฐานจะมีประสาทประธานเพียงหลังเดียว ใช้ประดิษฐานศิวลึงค์ แรกเริ่มเดิมทีปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยอิฐ แต่ต่อมาในสมัยนครวัดได้มีการสร้างขึ้นใหม่เป็นหินทรายอย่างที่เห็นในปัจจุบัน


ภาพถ่ายปราสาทบากอง

ภายหลังจากการเยี่ยมชม และสำรวจปราสาทบากองแล้ว คณะอาจารย์และนักศึกษาได้เดินทางต่อไปยังสถานที่สุดท้ายของวันนี้คือ ปราสาทโลเลย ซึ่งเป็นปราสาทหินที่อยู่ทางเหนือสุดของกลุ่มปราสาทโลเลย ในอาณาจักรเขมรโบราณ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 เช่นเดียวกันกับสองปราสาทก่อนหน้านี้

หลังจากที่คณะฯ ได้เดินทางสำรวจครบทั้งสามปราสาทในวันสุดท้ายแล้ว ช่วงเวลาประมาณเที่ยงของวันเดียวกันก็ได้เดินทางไปรับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคารในเมืองเสียมราฐ ก่อนจะเดินทางออกจากเมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา เพื่อกลับมายังด่านพรมแดนช่องจอม ตำบลด่าน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เมื่อถึงด่านพรมแดนช่องจอมในเวลาประมาณ 15.00 น. คณะอาจารย์และนักศึกษาเดินทางกลับด้วยรถบัส และถึงมหาวิทยาลัยขอนแก่นโดยสวัสดิภาพ ในเวลาประมาณ 21.00 น.

สิ้นสุดการเดินทางโครงการสำรวจและเก็บข้อมูลภาคสนาม อารยธรรมเขมรโบราณ ณ จังหวัดเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ประจำปีการศึกษา 2565 ของคณะอาจารย์และนักศึกษาสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ชั้นปีที่ 4 การเดินทางในครั้งนี้ถือเป็นการเรียนรู้ สำรวจ และศึกษาสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และอารยธรรมเขมรโบราณจากสถานที่จริง ซึ่งเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ แก่นักศึกษาทุกคนให้ได้เห็นถึงความเหมือนและความแตกต่างจากเนื้อหาที่ได้เรียนในห้องเรียน รวมถึงทำให้ได้เรียนรู้และซึมซับในเรื่องของสังคม วัฒนธรรม ภาษา และศาสนาความเชื่อที่เป็นสิ่งหล่อหลอมความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมเขมรในอดีต จนกระทั่งการเปิดเผยเรื่องราวของอารยธรรมอันยิ่งใหญ่เหล่านี้สู่สายตาของคนทั้งโลก ถึงกับมีการกล่าวกันว่าครั้งหนึ่งในชีวิต ท่านจะต้องลองไปพิชิตยอดปราสาทนครวัดอันยิ่งใหญ่ สัมผัสถึงความซับซ้อนที่แฝงไปด้วยคุณค่า และความหมายที่ไม่อาจอธิบายได้หมดจนกว่าที่ท่านจะได้ไปเห็นกับตาของตัวเอง

โดยภาพรวมแล้วประเทศกัมพูชา ถือเป็นประเทศที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย มีการสร้างรากฐานของระบบการปกครอง การสร้างผังเมือง และการชลประทานมาตั้งแต่ยุคโบราณ แม้ในภายหลังได้มีการเกิดการล่มสลายของอาณาจักรเขมรโบราณ ทว่าสิ่งมหัศจรรย์ทั้งหลายที่ถูกสร้างด้วยฝีมือมนุษย์ และถูกสั่งสมมาตั้งแต่อดีตกลับไม่ถูกลบเลือนให้จางหายไปแต่อย่างใด อีกทั้งยังกลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจและน่าค้นหาอย่างไม่สิ้นสุด นอกจากนี้การเข้ามาของชาติตะวันตกอย่างฝรั่งเศส ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์และอารยธรรมเก่าแก่เหล่านี้ ซึ่งปัจจุบันและต่อไปในอนาคตข้างหน้า เราทุกคนควรที่จะตระหนักถึงความสำคัญ และเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราทุกคนได้ไปพบเห็น ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีและคุ้มค่าเกินกว่าจะบรรยาย โดยเฉพาะในฐานะของนักศึกษาสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา อย่างน้อยแล้วทุกคนจะได้รับองค์ความรู้และประสบการณ์จริง ที่สามารถนำไปศึกษาและพัฒนาต่อยอดในอนาคตได้นั่นเอง















No comments:

Post a Comment